การติดตั้งท่อและข้อต่อไซเลอร์ มีความเรียบง่ายและเหมือนการติดตั้งท่อเหล็กทั่วไป ดังนี้
ขั้นที่ 1 การตัด
ควรตัดท่อไซเลอร์ (SYLER) ให้ได้ฉาก 90 องศา ด้วยเครื่องมือที่ไม่เกิดความร้อนจนทำให้ท่อพีอีด้านในเกิดความร้อนจนละลายหรือไหม้
เครื่องมือตัดที่แนะนำ
- เครื่อมือเลื่อย (Handsaw)
- เครื่องมือเลื่อยอัตโนมัติ (Power Hacksaw)
- ใบมีดในเครื่องด๊าป (Roller Cutter)
- เครื่องตัดเลื่อยสายพาน (Band Saw)
- เลื่อยวงเดือน (Circular Saw)
* Remark : ท่อไซเลอร์ ตัดได้ถึงชั้นเนื้อเหล็ก ในส่วนของชั้นพลาสติก ใช้ Cutter
ข้อควรระวัง
1. ห้ามตัดท่อไซเลอร์ (SYLER) ด้วยเครืองมือที่เกิดความร้อนสูง เช่น
- เลื่อยตัดไฟเบอร์ความร้อนสูง
- เครื่องตัดด้วยระบบแก๊ส เพราะจะทำให้ชั้นพีอีไหม้ และหดตัวเป็นสาเหตุของสนิมบริเวณปลายท่อ
2. หากตัดท่อด้วยใบมีดในเครื่องด๊าป (Roller Cutter) ควรใช้ใบมีดที่ใหม่ และมีความคมเพียงพอ การตัดท่อด้วยคัตเตอร์ที่ไม่คม จะทำให้ปลายท่อเหล็กบานออกเมื่อประกอบกับข้อต่อ แล้วอาจมีผลทำให้พลาสติกด้านในข้อต่อเสียหายจนไปขวางการไหลของน้ำให้น้อยลงได้
ขั้นที่ 2 การขูด หรือการแต่งปลายท่อ
ควรใช้เครื่องมือคว้านท่อ (Scraper) หรือที่คว้านท่อที่ติดตั้งในเครื่องด๊าป เพื่อกำจัดในส่วนที่ไม่เรียบ ซึ่งหากไม่ทำการแต่งปลายท่อ อาจจะมีผลทำให้พลาสติกด้านในข้อต่อเสียหายจนไปขวางการไหลของน้ำให้ลดน้อยลงได้เช่นกัน
ข้อควรระวัง หากขูดหรือแต่งปลายท่อ ด้วยที่คว้านท่อที่ติดตั้งในเครื่องด๊าป ต้องไม่ให้ปลายท่อถูกขูดไปเกิน 2 ใน 3 ของความหนาชั้นพีอี
ขั้นที่ 3 การทำเกลียว
ควรทำเกลียวเพื่อให้ได้ความยาวเกลียวตามมาตรฐาน BS21 และ BSPT หรือตามตารางข้างล่าง เพื่อให้การป้องกันการรั่ว และการเกิดสนิมของท่อและข้อต่อ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ขนาดท่อ |
ความยาวส่วนที่เป็นเกลียวโดยประมาณ |
จำนวนเกลียว |
|
มม. |
นิ้ว |
||
25 |
1” |
22.1 |
9.5 |
32 |
1 1/4” |
24.1 |
10.5 |
40 |
1 1/2” |
24.1 |
10.5 |
50 |
2” |
27.5 |
12 |
65 |
2 1/2” |
30.0 |
13 |
80 |
3” |
34.9 |
14 |
หมายเหตุ : ท่อขนาด 4" ขึ้นไป ควรติดตั้งด้วยระบบ Grooved Coupling
ข้อควรระวัง ในระหว่างขั้นตอนการทำเกลียว ควรเร่งน้ำมันด๊าป หรือสารหล่อเย็นในระดับสูงสุด เพื่อป้องกันความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างทำเกลียว ซึ่งอาจทำให้ชั้นพีอีเสียหายได้ และควรให้น้ำมันด๊าป หรือสารหล่อเย็นที่ผู้ผลิตเครื่องด๊าปแนะนำ
ขั้นที่ 4 การประกอบและขันท่อ
หลังจากทำเกลียวแล้ว ควรนำเศษเหล็ก น้ำมันด๊าป หรือสารหล่อเย็น ที่ตกค้างในท่อออกให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิมจากเศษเหล็กที่ตกค้างในท่อ และป้องกันไม่ให้มีกลิ่น อันเนื่องมาจากน้ำมันเครื่องด๊าป หรือสารหล่อเย็นที่ค้างอยู่ภายในท่อ นอกจากนี้ เพื่อให้การป้องกันการรั่วและการป้องกันการเกิดสนิมบริเวณที่ทำเกลียวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้ทาบริเวณเกลียวของท่อและข้อต่อ รวมทั้งหน้าตัดท่อด้วยกาวเฮอร์เมสซีล 55 หรือพันบริเวณที่ทำเกลียวด้วยเทปพันเกลียว หรือใช้ด้ายสายสิญจน์ชุบน้ำยา Seal Compound และทำการขันท่อตามรายละเอียดในตารางนี้
ขนาดท่อ |
จำนวนเกลียวที่ขัน |
กำลังบิดของการขัน |
คีม |
|
มม. |
นิ้ว |
รอบ |
Kgf-m |
Kgf |
25 |
1” |
5.0 – 6.0 |
10 |
450 x 29 |
32 |
1 1/4” |
6.0 – 7.0 |
12 |
450 x 35 |
40 |
1 1/2” |
6.5 – 7.5 |
15 |
600 x 32 |
50 |
2” |
7.5 – 8.5 |
20 |
600 x 42 |
65 |
2 1/2” |
8.0 – 10.0 |
25 |
900 x 35 |
80 |
3” |
9.0 – 11.0 |
30 |
900 x 43 |
100 |
4” |
10.0 – 12.0 |
40 |
950 x 53 |
150 |
6” |
11.0 – 13.5 |
60 |
1,150 x 63 |
ขั้นที่ 5 ขั้นตอนหลังจากติดตั้งเสร็จ
หลังจากการเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซ่อมแซมส่วนที่มีตำหนิบนท่อ และข้อต่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเกลียวด้วยสีกันสนิม หรือสารเคลือบป้องกันสนิม เพื่ออายุการใช้งานที่ยืนยาวที่สุด
ขั้นที่ 6 การทำความสะอาดระบบท่อน้ำภายหลังการติดตั้ง
หลังจากการติดตั้งเสร็จ ควรปล่อยน้ำไหล เพื่อความสะอาดด้านในท่อและชำระสิ่งสกปรกที่อาจเกิดจากการติดตั้งให้หมดไป และทำการฆ่าเชื้อที่อาจปนเปื้อนจากการติดตั้งด้วยส่วนผสมของคลอรีน (ใช้ได้ทั้งคลอรีนเหลว หรือส่วนผสมของโซเดียมไฮเปอคลอไรด์ สัดส่วนที่ใช้ไม่ควรน้อยกว่า 50 ppm) ทิ้งค้างไว้ในท่อไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง แล้วปล่อยน้ำสะอาดชะล้างจนกว่าสารคลอรีนที่ตกค้างคงเหลือในระบบไม่เกิน 0.2 ppm